โบรกเกอร์ Forex เป็นตัวกลางที่ช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าถึงตลาด Forex และทำการซื้อขายสกุลเงินได้อย่างสะดวก โบรกเกอร์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างนักเทรดและตลาด รวมถึงให้บริการต่าง ๆ เช่น การให้ข้อมูลราคาแบบเรียลไทม์ การดำเนินการคำสั่งซื้อขาย และการให้เลเวอเรจสำหรับนักเทรดในการเพิ่มขนาดการซื้อขาย นอกจากนี้ โบรกเกอร์ยังมีประเภทและความแตกต่างที่นักเทรดต้องคำนึงถึงเมื่อเลือกใช้บริการ

 

ในบทความนี้ เราจะขยายรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทของโบรกเกอร์ Forex คุณสมบัติที่ควรพิจารณาในการเลือกโบรกเกอร์ วิธีการทำงานของโบรกเกอร์ รวมถึงข้อดีและข้อเสียของโบรกเกอร์แต่ละประเภท


1. โบรกเกอร์ Forex คืออะไร?

โบรกเกอร์ Forex คือบริษัทหรือองค์กรที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex โบรกเกอร์ช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าถึงตลาดและทำการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มการเทรด โดยโบรกเกอร์จะรับคำสั่งซื้อขายจากนักเทรดและส่งไปยังตลาดระหว่างธนาคาร (Interbank Market) หรือแพลตฟอร์มการซื้อขายอื่น ๆ ตามรูปแบบการให้บริการ

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะให้บริการ เลเวอเรจ (Leverage) ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถขยายขนาดการซื้อขายได้มากกว่าจำนวนเงินทุนจริงที่มีอยู่ เช่น เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่า นักเทรดสามารถซื้อขายสกุลเงินได้ 100 เท่าของจำนวนเงินที่ตนมีในบัญชี


2. ประเภทของโบรกเกอร์ Forex

โบรกเกอร์ Forex แบ่งออกเป็นหลายประเภทตามรูปแบบการทำงานและการเชื่อมต่อกับตลาดหลัก ต่อไปนี้คือประเภทหลัก ๆ ของโบรกเกอร์ Forex ที่นักเทรดควรรู้จัก:


2.1 โบรกเกอร์แบบ Dealing Desk (Market Maker)

โบรกเกอร์แบบ Dealing Desk หรือที่เรียกว่า Market Maker คือโบรกเกอร์ที่สร้างตลาดของตนเองขึ้นมาเพื่อให้บริการแก่นักเทรด โดยที่โบรกเกอร์จะทำหน้าที่เป็นผู้รับคำสั่งซื้อขายและจับคู่คำสั่งภายในระบบของตัวเอง โบรกเกอร์ประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องส่งคำสั่งไปยังตลาดระหว่างธนาคาร

ลักษณะของโบรกเกอร์ Market Maker:

  • โบรกเกอร์ทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดของตัวเอง
  • ค่าสเปรด (Spread) อาจคงที่และมักจะกว้างกว่าตลาดจริง
  • โบรกเกอร์อาจมีความเสี่ยงในการขัดแย้งกับนักเทรด เนื่องจากการขาดทุนของนักเทรดเป็นผลกำไรของโบรกเกอร์

ข้อดี:

  • สเปรดคงที่: Market Maker มักจะเสนอค่าสเปรดคงที่ ซึ่งช่วยให้นักเทรดรู้ค่าใช้จ่ายในการเทรดล่วงหน้า
  • เลเวอเรจสูง: โบรกเกอร์ประเภทนี้มักเสนอเลเวอเรจสูง ซึ่งเหมาะสำหรับนักเทรดที่มีทุนเริ่มต้นน้อย

ข้อเสีย:

  • ความขัดแย้งทางผลประโยชน์: โบรกเกอร์อาจมีความขัดแย้งกับนักเทรด เนื่องจากกำไรของโบรกเกอร์มาจากการขาดทุนของนักเทรด
  • ความเสี่ยงในการปั่นราคา: โบรกเกอร์อาจควบคุมราคาในตลาดของตัวเอง ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อขายของนักเทรด

2.2 โบรกเกอร์แบบ Non-Dealing Desk (NDD)

โบรกเกอร์แบบ Non-Dealing Desk (NDD) คือโบรกเกอร์ที่ส่งคำสั่งซื้อขายของนักเทรดไปยังตลาดระหว่างธนาคารโดยตรงหรือเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Providers) โบรกเกอร์ประเภทนี้ไม่มีการสร้างตลาดของตนเองและไม่มีการขัดแย้งทางผลประโยชน์กับนักเทรด

โบรกเกอร์ NDD สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ โบรกเกอร์แบบ STP และ โบรกเกอร์แบบ ECN


2.2.1 โบรกเกอร์แบบ STP (Straight Through Processing)

โบรกเกอร์แบบ STP คือโบรกเกอร์ที่ส่งคำสั่งซื้อขายของนักเทรดไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องโดยตรง เช่น ธนาคารหรือโบรกเกอร์รายอื่น คำสั่งซื้อขายจะถูกดำเนินการโดยอัตโนมัติและส่งไปยังตลาดกลางอย่างรวดเร็ว

ลักษณะของโบรกเกอร์ STP:

  • ไม่มีการสร้างตลาดของตัวเอง คำสั่งซื้อขายถูกส่งไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่อง
  • ค่าสเปรดอาจผันแปรตามสภาพคล่องในตลาด
  • โบรกเกอร์อาจคิดค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติมจากสเปรด

ข้อดี:

  • ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์: โบรกเกอร์ STP ทำหน้าที่เป็นตัวกลางโดยไม่มีความขัดแย้งกับนักเทรด
  • การดำเนินการที่รวดเร็ว: คำสั่งซื้อขายจะถูกส่งไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องโดยตรง ซึ่งทำให้การซื้อขายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ข้อเสีย:

  • ค่าสเปรดที่ผันแปร: ค่าสเปรดอาจขยายกว้างขึ้นในช่วงที่ตลาดผันผวน
  • ค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติม: นักเทรดอาจต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติม นอกเหนือจากค่าสเปรด

2.2.2 โบรกเกอร์แบบ ECN (Electronic Communication Network)

โบรกเกอร์แบบ ECN คือโบรกเกอร์ที่ให้บริการเครือข่ายการซื้อขายที่เชื่อมต่อนักเทรดโดยตรงกับผู้ให้บริการสภาพคล่องหลายราย คำสั่งซื้อขายของนักเทรดจะถูกจับคู่กับคำสั่งของผู้เทรดรายอื่นในตลาด และดำเนินการทันที

ลักษณะของโบรกเกอร์ ECN:

  • คำสั่งซื้อขายของนักเทรดถูกจับคู่กับคำสั่งของผู้เทรดรายอื่นหรือผู้ให้บริการสภาพคล่อง
  • ค่าสเปรดอาจต่ำมาก เนื่องจากเป็นสเปรดที่ผันแปรตามตลาดจริง
  • โบรกเกอร์ ECN มักจะคิดค่าคอมมิชชั่นสำหรับการซื้อขายทุกครั้ง

ข้อดี:

  • ค่าสเปรดต่ำ: โบรกเกอร์ ECN มักจะเสนอค่าสเปรดที่ต่ำมาก เนื่องจากไม่มีการแทรกแซงราคา
  • ความโปร่งใส: การทำงานของ ECN เป็นไปอย่างโปร่งใส คำสั่งซื้อขายของนักเทรดจะถูกจับคู่กับคำสั่งจริงในตลาด

ข้อเสีย:

  • ค่าคอมมิชชั่นสูง: โบรกเกอร์ ECN มักจะคิดค่าคอมมิชชั่นที่สูงกว่าประเภทอื่น เนื่องจากการให้บริการสภาพคล่องโดยตรง
  • เลเวอเรจต่ำ: โบรกเกอร์ ECN มักเสนอเลเวอเรจต่ำกว่าโบรกเกอร์ประเภทอื่น ซึ่งอาจไม่เหมาะกับนักเทรดที่ต้องการใช้เลเวอเรจสูง

3. คุณสมบัติที่ควรพิจารณาในการเลือกโบรกเกอร์ Forex

เมื่อเลือกโบรกเกอร์ Forex นักเทรดควรพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อให้มั่นใจว่าโบรกเกอร์ที่เลือกเหมาะสมกับกลยุทธ์และความต้องการของตนเอง ต่อไปนี้คือคุณสมบัติหลัก ๆ ที่ควรพิจารณา:


3.1 ความน่าเชื่อถือและการรับรอง (Regulation and Reliability)

การเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลเป็นสิ่งสำคัญ เพราะโบรกเกอร์ที่ได้รับการรับรองมักจะปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนดเพื่อปกป้องนักลงทุน หน่วยงานกำกับดูแลที่สำคัญในตลาด Forex ได้แก่:

  • FCA (Financial Conduct Authority) จากสหราชอาณาจักร
  • CySEC (Cyprus Securities and Exchange Commission) จากไซปรัส
  • ASIC (Australian Securities and Investments Commission) จากออสเตรเลีย

ข้อดีของโบรกเกอร์ที่ได้รับการรับรอง:

  • ความปลอดภัยของเงินทุน: โบรกเกอร์ที่ได้รับการรับรองต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในการแยกบัญชีเงินทุนของลูกค้าออกจากบัญชีของบริษัท
  • ความโปร่งใส: โบรกเกอร์ที่ได้รับการรับรองจะต้องรายงานผลการดำเนินงานอย่างโปร่งใสและปฏิบัติตามมาตรฐานของหน่วยงานกำกับดูแล

3.2 ค่าสเปรดและค่าคอมมิชชั่น (Spread and Commissions)

ค่าสเปรดและค่าคอมมิชชั่นเป็นต้นทุนหลักที่นักเทรดต้องจ่ายเมื่อทำการซื้อขายในตลาด Forex การเปรียบเทียบค่าสเปรดและค่าคอมมิชชั่นของโบรกเกอร์แต่ละรายเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากต้นทุนที่ต่ำจะช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรได้มากขึ้น

การพิจารณา:

  • หากนักเทรดทำการซื้อขายในระยะสั้น (Scalping) ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าสเปรดต่ำหรือไม่มีค่าคอมมิชชั่น
  • หากนักเทรดใช้กลยุทธ์ระยะยาว ค่าคอมมิชชั่นที่สูงขึ้นอาจเป็นที่ยอมรับได้ หากโบรกเกอร์เสนอการดำเนินการคำสั่งซื้อขายที่รวดเร็วและมีความโปร่งใส

3.3 เลเวอเรจ (Leverage)

เลเวอเรจ ช่วยให้นักเทรดสามารถเพิ่มขนาดการซื้อขายได้มากกว่าจำนวนเงินทุนที่ตนมีอยู่ โบรกเกอร์แต่ละรายเสนอเลเวอเรจที่แตกต่างกันไป โดยเลเวอเรจสูงช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนเช่นกัน

การพิจารณา:

  • นักเทรดควรเลือกเลเวอเรจที่เหมาะสมกับกลยุทธ์และระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ โบรกเกอร์ที่เสนอเลเวอเรจสูงควรมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี

3.4 แพลตฟอร์มการเทรด (Trading Platform)

แพลตฟอร์มการเทรด เป็นเครื่องมือสำคัญที่นักเทรดใช้ในการวิเคราะห์ตลาดและทำการซื้อขาย โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะเสนอแพลตฟอร์มที่หลากหลาย เช่น MetaTrader 4 (MT4), MetaTrader 5 (MT5) และแพลตฟอร์มเฉพาะของโบรกเกอร์เอง

คุณสมบัติที่ควรพิจารณา:

  • การใช้งานที่ง่าย: แพลตฟอร์มควรใช้งานง่ายและมีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ครบถ้วน
  • ความเสถียร: แพลตฟอร์มควรมีความเสถียรและสามารถทำการซื้อขายได้รวดเร็วและไม่มีการหลุดระหว่างการซื้อขาย
  • เครื่องมือวิเคราะห์: แพลตฟอร์มควรมีเครื่องมือทางเทคนิค เช่น กราฟ อินดิเคเตอร์ และข้อมูลราคาแบบเรียลไทม์

3.5 การสนับสนุนลูกค้า (Customer Support)

การสนับสนุนลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่นักเทรดควรพิจารณาเมื่อเลือกโบรกเกอร์ โดยเฉพาะเมื่อต้องการความช่วยเหลือในกรณีที่เกิดปัญหากับบัญชีการซื้อขายหรือการทำธุรกรรม โบรกเกอร์ที่ดีควรมีการสนับสนุนลูกค้าที่รวดเร็วและตอบสนองอย่างมืออาชีพ

การพิจารณา:

  • โบรกเกอร์ควรมีการสนับสนุนลูกค้าหลายภาษา และให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงในช่วงที่ตลาดเปิด
  • ควรมีช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย เช่น แชทสด อีเมล หรือโทรศัพท์

4. ข้อดีและข้อเสียของโบรกเกอร์ Forex

การเลือกโบรกเกอร์ Forex มีผลกระทบอย่างมากต่อประสบการณ์การเทรดและผลลัพธ์ทางการเงินของนักเทรด ต่อไปนี้คือข้อดีและข้อเสียของการใช้โบรกเกอร์ Forex


ข้อดี:

  • เข้าถึงตลาดโลกได้ง่าย: โบรกเกอร์ Forex ช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าถึงตลาด Forex ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่จำเป็นต้องมีการลงทุนขนาดใหญ่
  • เครื่องมือวิเคราะห์และแพลตฟอร์มที่หลากหลาย: โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีเครื่องมือทางเทคนิคและแพลตฟอร์มที่ทันสมัยเพื่อสนับสนุนการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ
  • เลเวอเรจ: การใช้เลเวอเรจช่วยให้นักเทรดสามารถขยายขนาดการซื้อขายได้มากขึ้น แม้ว่าจะมีเงินทุนจำกัด

ข้อเสีย:

  • ความเสี่ยงจากเลเวอเรจสูง: แม้เลเวอเรจจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างมากเช่นกัน นักเทรดควรใช้เลเวอเรจอย่างระมัดระวัง
  • ความขัดแย้งทางผลประโยชน์: โบรกเกอร์ประเภท Market Maker อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับนักเทรด เนื่องจากกำไรของโบรกเกอร์มาจากการขาดทุนของนักเทรด
  • ค่าธรรมเนียมและค่าสเปรด: บางโบรกเกอร์อาจมีค่าสเปรดและค่าคอมมิชชั่นที่สูง ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการเทรดเพิ่มขึ้น

สรุป

โบรกเกอร์ Forex มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าถึงตลาดและทำการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่นักเทรดควรให้ความสำคัญ โดยพิจารณาจากประเภทของโบรกเกอร์ ค่าสเปรด เลเวอเรจ ความน่าเชื่อถือ และแพลตฟอร์มการเทรด การทำความเข้าใจข้อดีและข้อเสียของโบรกเกอร์แต่ละประเภทจะช่วยให้นักเทรดสามารถเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์และความต้องการของตนเองได้มากที่สุด

 

Share This Story, Choose Your Platform!

โบนัสเทรดฟรี ไม่ต้องฝากเงิน

จะดีกว่าไหมหากได้เงินทุนมาเทรดฟรี ๆ กำไรก็สามารถถอนออกมาได้

บทความที่เกี่ยวข้อง